ระมัดระวังโรคฮิตรับเปิดเทอม

อยู่ๆ เจ้าตัวเล็กของเราก็เกิดเป็นหวัดคัดจมูกน้ำมูกไหล หลังกลับมาจากโรงเรียนได้ไม่กี่วัน จะว่าฟ้าฝนไม่เป็นใจหรือ ส่วนหนึ่งก็ใช่นะ
แต่ที่น่าสงสัยคือ ทำไมลูกยังเป็นซ้ำซาก ไม่ยอมหายสักที แล้วไม่เพียงแค่โรคฮิตอย่างโรคหวัดเท่านั้นนะคะ โรคคอหรือหูอักเสบเอย โรคหิด โรคเหา
หรือโรคพยาธิต่างๆ เอย ตามถามหาลูกของเราได้จ้าละหวั่น แต่ที่น่าแปลกคือ พอปิดเทอมลูกกลับแข็งแรงดี ไม่เห็นป่วยไข้เหมือนเมื่อตอนไปโรงเรียนเลย
แบบนี้เขาเรียกว่าเป็น “โรคโรงเรียนทำ” หรือเปล่าหนอ

PNSOC571203001002702_03122014_020847

ไข้หวัด : โรคฮิตติดอันดับ 1

บางครั้งลูกของเราอาจติดหวัดจากเพื่อนร่วมชั้นเรียน เพียงเพราะว่าเด็กทั้งคู่นั่งใกล้กัน และสูดดมเอาละอองน้ำมูก หรือน้ำลายที่เจ้าของเชื้อไอ หรือสั่งน้ำมูกออกมาค่ะ เผลอๆ บางทีเด็กที่ป่วยอาจไม่รู้ตัว ปาดน้ำมูกไว้ตรงฝ่ามือ และบังเอิญไปหยิบจับของเล่นที่อยู่ตรงหน้า พอลูกของเราเกิดอยากเล่นของเล่นชิ้นนั้นต่อ ก็พลอยติดหวัดไปด้วยอีกคน เรื่อง การกินน้ำแก้วเดียวกัน หรือใช้ช้อนตักข้าวกินร่วมกันกับเพื่อนที่ป็นหวัด อย่างนี้ก็ทำให้ลูกของเราป่วยได้เช่นกัน ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ทางโรงเรียนควรจัดแก้วดื่มน้ำสำหรับเด็กแต่ละคน โดยทำสัญลักษณ์แบ่งไว้ชัดเจน ไม่ใช้ปะปนกัน หรือถ้าเป็นแก้วกระดาษ ก็จัดให้เป็นระบบระเบียบ โดยตั้งถังขยะไว้ใกล้ๆ เพื่อให้เด็กที่ป่วย และไม่ป่วยได้รู้จักแยกแยะแก้วที่ใช้แล้ว และไม่ได้ใช้ออกจากกันนอกจากนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้โรคหวัดลุกลามจากเด็กคนหนึ่งไปยังเด็กคนอื่นๆในห้อง ทางโรงเรียนควรจะหมั่นเปิดหน้าต่าง ให้อากาศที่เต็มไปด้วยไรฝุ่น
หรือ เชื้อโรคต่างๆ ภายในห้องเรียนได้ระบายออกไป และปล่อยให้อากาศบริสุทธิ์ถ่ายเทเข้าข้างในเสียบ้าง ทำความสะอาดของเล่น โรงเรียนควรทำความสะอาดของเล่นอย่างน้อย อาทิตย์ละครั้ง ห้องเรียนขนาดเล็ก ตามมาตรฐานที่ดีแล้วห้องเรียนหนึ่งๆ ควรมีนักเรียนแค่ 20-25 คนเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเกิดความรู้สึกอึดอัด และอากาศจะได้ถ่ายเทสะดวกด้วยของ ใช้ส่วนตัว เด็กนักเรียนทุกคนควรมีแก้วน้ำ และจานข้าว รวมทั้งผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวเป็นของตัวเอง เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากเพื่อนผู้ป่วยคนอื่น

ท้องเสีย : โรคฮิตติดอันดับ 2

บางครั้งการหยิบของเล่นสกปรกๆเข้า ปาก หรือกินอาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัยในโรงอาหารก็เป็นสาเหตุทำให้เจ้าตัวเล็กของ เราเกิดอาการท้องร่วงได้เหมือนกัน
ดังนั้นทางที่ดีทางโรงเรียนควรทำความ สะอาดของเล่นเด็กๆ อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง และหมั่นตรวจสอบว่าอาหารที่ปรุงให้เด็กนั้นสุก และสะอาดดี

หิด เหา : โรคฮิตติดอันดับ 3 เด็กในเมืองก็เป็นกันได้

แม้เราจะดูแลเรื่องผม และความสะอาดให้ลูกเป็นอย่างดี แต่ใช่ว่าจะเป็นใบรับประกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ลูกจะไม่เป็นโรคหิด หรือเหาขึ้น เพราะถ้าเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนใดคนหนึ่งเกิดเป็นเจ้าสองโรคนี้ขึ้นมา ลูกของเราก็อาจติดได้ถ้าบังเอิญต้องนั่งติดกัน หรือเล่นด้วยกัน

ดังนั้นถ้าไม่แน่ใจว่าลูกอาจติดเหา หรือหิดมาจากโรงเรียนเข้าให้แล้ว ลองสังเกตอาการดูว่า ลูกมีตุ่มแดงเล็กๆ ใสๆ ตามง่ามนิ้วมือ นิ้วเท้า หรือตามรักแร้
ข้อเท้า ก้น สะดือ หรือบริเวณขาหนีบหรือเปล่า และอาการจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในตอนกลางคืนด้วยใช่ไหม

ถ้าใช่! ลูกของคุณเข้าข่ายเป็นโรคหิด และควรพาไปหาหมอเพื่อรับยาฆ่าตัวหิดมาทาแล้วล่ะค่ะ
เรา สามารถป้องกันโรคหิดที่อาจเกิดขึ้นกับลูกของเราได้โดยตรง ด้วยการหมั่นซักเสื้อผ้า และของใช้ตลอดจนผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวให้สะอาดอยู่เสมอ ส่วนในกรณีที่ลูกอาจติดโรคเหามาจากเพื่อน ทางที่ดีเราควรจะรักษาคนที่อยู่ใกล้ชิดกับลูกไปพร้อมๆกัน ด้วยการใช้หวีเสนียดมาสางเอาไข่เหาออกเสียก่อนต่อจากนั้นค่อยรักษาด้วยยา ชนิดเดียวกับที่รักษาโรคหิด

หูและคออักเสบ : โรคฮิตติดอันดับ 4 โรคฮิตที่มักถูกมองข้าม

ถ้าอยู่ๆ ลูกของเราเกิดมีอาการเป็นหวัดคัดจมูกน้ำมูกไหลในตอนเช้า และเผอิญวันนั้นมีวิชาเรียนว่ายน้ำในตอนบ่าย การว่ายน้ำนี่แหละค่ะจะเป็นตัวก่อให้ลูกของเราเป็นโรคหูและคออักเสบได้ ทั้งนี้ไม่ใช่การว่ายน้ำทำให้เกิดโรคนะคะ แต่เป็นเพราะโรคหวัดต่างหากที่ทำให้ท่อที่เชื่อมต่อระหว่างหูส่วนกลาง และคออักเสบขึ้นมาได้โดยง่าย ดังนั้นถ้าวันไหนลูกเราไม่สบาย มีน้ำมูกไหลไม่ยอมหยุด ก็ควรงดวิชาเรียนว่ายน้ำไปก่อนค่ะ

โรคพยาธิ : โรคฮิตติดอันดับ 5 โรคจากความประมาท

ธรรมดาแล้วเด็กเล็กๆ นี่แหละค่ะชอบนักชอบหนาที่จะเดินเท้าเปล่าไปบนผืนหญ้า หรือผืนดิน ซึ่งบนดินจะมีพยาธิไส้เดือน กับพยาธิปากขอซ่อนอยู่
โดยเจ้าตัวร้ายพยาธิ ไส้เดือนจะเข้าสู่ร่างกายของลูกเราได้ ด้วยการที่ลูกเอามือหยิบดิน หรือทรายมาเล่น แล้วลืมล้างมือหลังเล่นเสร็จ การเอามือที่อาจปนเปื้อนไข่พยาธิเข้าปากนี้เองแหละค่ะ ที่จะเป็นทางผ่านให้พยาธิเข้าสู่ร่างกายของลูก หลังจากนั้นเขาจะมีอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด ยิ่งถ้าในท้องลูกมีพยาธิในปริมาณมาก จะยิ่งทำให้เขาเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง และอาเจียนออกเป็นสีน้ำดี

สำหรับพยาธิปากขอนั้น สามารถเข้าสู่ร่างกายของลูกได้ด้วยการชอนไชเข้าสู่เท้าน้อยๆของเขา ในกรณีที่เขาลืมใส่รองเท้าและเหยียบย่ำลงบนดินชื้นๆ และถ้าพยาธิชนิดนี้เข้าไปแพร่พันธุ์ในร่างกายของลูกมากๆ เข้า จะทำให้เขามีอาการเสียเลือดจนตัวซีดขาวได้ค่ะ

ดังนั้นเราสามารถป้องกันลูกให้พ้นจากโรคพยาธิเหล่านี้ได้ด้วยวิธีนี้

  • เตือนให้ลูกล้างมือทุกครั้งหลังจากไปวิ่งเล่นยังสนามเด็กเล่น หรือพื้นหญ้าในโรงเรียน
  • ก่อนกินข้าวทุกมื้อควรล้างมือให้สะอาดเสียก่อน
  • ตัดเล็บมือเล็บเท้าลูกให้สั้นอยู่เสมอ
  • สวมรองเท้าทุกครั้งที่ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน หรือบนพื้นดิน
  • ควรให้ลูกได้รับยาถ่ายพยาธิอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง โดยปรึกษาหมอประจำตัวของลูกก่อนนะคะ

ได้ข้อมูลที่ชัดเจนแบบนี้ ความกังวลคลายลงไปเยอะเลยใช่ไหมคะ เพราะใช่ว่าเราจะต้องยอมจำนนกับโรคเหล่านี้เสียเมื่อไหร่ คาถาง่ายๆ มีอยู่ว่า ถ้าเพียงแค่เรารู้จักป้องกัน ไม่เอาแต่โทษว่าเป็น “โรคโรงเรียนทำ” แต่ร่วมกันสร้างสภาวะแวดล้อมภายในโรงเรียนให้ปลอดภัย และสะอาดอยู่เสมอ รวมถึงการเตรียมพร้อมลูกให้กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ นอนเต็มอิ่ม และออกกำลังกายเป็นประจำ เรื่องสู้โรคภัยไหนๆ ก็ไม่น่าเป็นห่วงหรอกค่ะ

จาก : KidsandSchool
เรียบเรียง : Momypedia