โรค NCDs หรือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases) เป็นกลุ่มโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุจากเชื้อโรคและไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ แต่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ปัจจัยทางพันธุกรรม และปัจจัยแวดล้อม โรคเหล่านี้มักพัฒนาอย่างช้าๆ และมีลักษณะเรื้อรัง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว
5 โรค NCDs ที่พบบ่อยในประเทศไทย
1. โรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินปกติ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ หรือเซลล์ในร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินอย่างเหมาะสม
อาการสำคัญ:
- ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
- กระหายน้ำและหิวบ่อย
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- แผลหายช้า มีการติดเชื้อบ่อย
ภาวะแทรกซ้อน: หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจนำไปสู่โรคหัวใจ โรคไต โรคจอตา และปัญหาระบบประสาท
2. โรคความดันโลหิตสูง
โรคความดันโลหิตสูงหรือโรคไฮเปอร์เทนชัน เกิดเมื่อแรงดันเลือดในหลอดเลือดแดงสูงเกินกว่าระดับปกติ (มากกว่า 130/80 mmHg)
อาการสำคัญ:
- ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการชัดเจน จึงได้ชื่อว่า “ฆาตกรเงียบ”
- อาจมีอาการปวดศีรษะ มึนงง เลือดกำเดาออก
- หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
ภาวะแทรกซ้อน: เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวาย และการสูญเสียการมองเห็น
3. โรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคหัวใจและหลอดเลือดครอบคลุมโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจล้มเหลว
อาการสำคัญ:
- เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก รู้สึกกดทับ
- หายใจลำบาก หอบเหนื่อย
- ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- อ่อนแรง ชาที่แขนขา พูดไม่ชัด (กรณีโรคหลอดเลือดสมอง)
ภาวะแทรกซ้อน: อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หรือทำให้เกิดความพิการถาวร
4. โรคมะเร็ง
โรคมะเร็งเกิดจากเซลล์ในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างผิดปกติ มะเร็งที่พบบ่อยในไทย ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
อาการสำคัญ:
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีก้อนหรือการเติบโตผิดปกติ
- เลือดออกหรือมีสารคัดหลั่งผิดปกติ
- การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง
- อ่อนเพลียเรื้อรัง ไข้ ปวด
ภาวะแทรกซ้อน: ขึ้นอยู่กับประเภทและระยะของมะเร็ง อาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ และเป็นอันตรายถึงชีวิต
5. โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเป็นกลุ่มโรคที่ทำให้การหายใจลำบาก โดยมีสาเหตุหลักจากการสูบบุหรี่ มลพิษทางอากาศ และการสัมผัสสารระคายเคืองอื่นๆ
อาการสำคัญ:
- หายใจลำบาก โดยเฉพาะเมื่อออกแรง
- ไอเรื้อรัง มีเสมหะ
- หายใจมีเสียงวี้ด
- เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก
ภาวะแทรกซ้อน: การติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อย โรคหัวใจ ภาวะหายใจล้มเหลว และคุณภาพชีวิตลดลงอย่างมาก
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรค NCDs
โรค NCDs มีสาเหตุจากหลายปัจจัย ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้:
ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้
- การสูบบุหรี่และการใช้ยาสูบ – เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ มะเร็ง และโรคปอด
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป – ส่งผลเสียต่อตับ หัวใจ และสมอง
- การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ – อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง น้ำตาลสูง และเกลือมาก
- การขาดกิจกรรมทางกาย – การมีวิถีชีวิตเนือยนิ่ง ไม่ออกกำลังกาย
- ความเครียดเรื้อรัง – ส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกันและฮอร์โมน
- น้ำหนักเกินและโรคอ้วน – เพิ่มความเสี่ยงต่อเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
- มลพิษในสิ่งแวดล้อม – การสัมผัสมลพิษทางอากาศ สารเคมีอันตราย
ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้
- อายุ – ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น
- พันธุกรรม – ประวัติครอบครัวที่มีโรค NCDs
- เพศ – บางโรคพบในเพศใดเพศหนึ่งมากกว่า
- เชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ – บางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอื่น
การวินิจฉัยและการตรวจคัดกรองโรค NCDs
การตรวจคัดกรองเป็นประจำมีความสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจพบโรค NCDs ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น:
การตรวจคัดกรองที่สำคัญ
- การตรวจวัดความดันโลหิต – ควรตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด – ตรวจคัดกรองเบาหวาน โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
- การตรวจระดับไขมันในเลือด – ตรวจวัดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
- การตรวจคัดกรองมะเร็ง – เช่น แมมโมแกรม ตรวจมะเร็งปากมดลูก การตรวจลำไส้ใหญ่
- การตรวจสมรรถภาพปอด – สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคปอด
วิธีป้องกันโรค NCDs ด้วย 7 กลยุทธ์หลัก
การป้องกันโรค NCDs เริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เหมาะสม:
1. รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ
- ทานผักและผลไม้หลากหลายชนิด อย่างน้อยวันละ 5 ส่วน
- ลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และเกลือสูง
- เลือกธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนคุณภาพดี และไขมันดี
- ควบคุมปริมาณอาหารและขนาดของมื้ออาหาร
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
- เพิ่มกิจกรรมทางกายในชีวิตประจำวัน เช่น เดินขึ้นบันได เดินหรือปั่นจักรยานแทนการขับรถ
- ลดเวลานั่งหรือนอนเฉยๆ โดยลุกขึ้นเคลื่อนไหวทุก 30 นาที
3. เลิกสูบบุหรี่และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
- เลิกสูบบุหรี่และผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกชนิด รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า
- จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ หรืองดดื่มหากเป็นไปได้
- หลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง
4. จัดการความเครียด
- ฝึกเทคนิคผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ สมาธิบำบัด โยคะ
- หาเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ชอบ
- นอนหลับให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
5. รักษาน้ำหนักให้เหมาะสม
- พยายามรักษาดัชนีมวลกาย (BMI) ให้อยู่ในช่วง 18.5-22.9 kg/m² สำหรับคนเอเชีย
- ลดน้ำหนักหากอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักเกินหรืออ้วน
- รักษาเส้นรอบเอวให้ไม่เกิน 90 ซม. สำหรับผู้ชาย และ 80 ซม. สำหรับผู้หญิง
6. ตรวจสุขภาพประจำปี
- พบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี
- ตรวจคัดกรองโรค NCDs ตามช่วงอายุที่เหมาะสม
- ติดตามและควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่ตรวจพบ
7. เรียนรู้และให้ความรู้
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรค NCDs และวิธีป้องกัน
- แบ่งปันความรู้กับครอบครัวและคนรอบข้าง
- สนับสนุนนโยบายสาธารณะที่ส่งเสริมสุขภาพ
แนวทางการรักษาโรค NCDs
หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค NCDs การรักษาจะมุ่งเน้นที่การควบคุมอาการ ชะลอการดำเนินของโรค และป้องกันภาวะแทรกซ้อน:
การรักษาทั่วไป
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต – เป็นพื้นฐานสำคัญของการรักษาโรค NCDs ทุกชนิด
- การรักษาด้วยยา – แพทย์อาจสั่งยาเพื่อควบคุมความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด หรือไขมันในเลือด
- การผ่าตัดหรือหัตถการ – ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด เช่น ผ่าตัดหัวใจ หรือการรักษามะเร็ง
- การฟื้นฟูสมรรถภาพ – เช่น การฟื้นฟูหัวใจ การฟื้นฟูปอด
- การดูแลทางจิตใจ – การให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางจิตใจ
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรค NCDs
- ทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- ตรวจติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามคำแนะนำของแพทย์
- บันทึกอาการและผลการรักษา
- ติดต่อแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ
สถิติและความท้าทายของโรค NCDs ในประเทศไทย
โรค NCDs เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย โดยมีสถิติที่น่าสนใจดังนี้:
- โรค NCDs เป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากกว่า 70% ของการเสียชีวิตทั้งหมดในประเทศไทย
- โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง เบาหวาน และมะเร็ง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ
- พบว่าคนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูงประมาณ 13 ล้านคน แต่มีเพียงครึ่งหนึ่งที่ได้รับการวินิจฉัย
- ผู้ป่วยเบาหวานในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มอายุน้อยลง
- ค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค NCDs คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมด
บทสรุป: การป้องกันดีกว่าการรักษา
โรค NCDs เป็นความท้าทายด้านสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทยและทั่วโลก แม้จะเป็นโรคเรื้อรังที่มักจะไม่หายขาด แต่สามารถป้องกันและควบคุมได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต การตรวจคัดกรองเป็นประจำ และการรักษาที่เหมาะสม
การลงทุนในการป้องกันโรค NCDs ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและเพิ่มคุณภาพชีวิตในระยะยาว จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญและเริ่มต้นดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรค NCDs
โรค NCDs เริ่มเป็นได้ตั้งแต่อายุเท่าไร?
โรค NCDs สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ แม้ว่าจะพบบ่อยในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันพบว่าอุบัติการณ์ในกลุ่มอายุน้อยเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และความดันโลหิตสูง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและพฤติกรรมการบริโภค
โรค NCDs รักษาให้หายขาดได้หรือไม่?
โรค NCDs ส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการและชะลอการดำเนินของโรคได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม ในบางกรณี เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในระยะเริ่มต้น อาจสามารถทำให้อาการดีขึ้นหรือกลับสู่ภาวะปกติได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
ควรเริ่มตรวจคัดกรองโรค NCDs เมื่อไร?
โดยทั่วไป ควรเริ่มตรวจคัดกรองโรค NCDs เมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป หรือเร็วกว่านั้นหากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นโรค NCDs น้ำหนักเกิน หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง การตรวจคัดกรองประจำปีจะช่วยให้ตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
อาหารชนิดใดช่วยป้องกันโรค NCDs ได้ดี?
อาหารที่ช่วยป้องกันโรค NCDs ได้ดี ได้แก่:
- ผักและผลไม้สดหลากสี
- ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่
- โปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลา ถั่ว เต้าหู้
- ไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่ว
- อาหารที่มีใยอาหารสูง
การออกกำลังกายแบบไหนที่ช่วยป้องกันโรค NCDs ได้ดีที่สุด?
การออกกำลังกายที่ดีควรประกอบด้วย:
- การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
- การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น การยกน้ำหนัก
- การยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
- กิจกรรมเพิ่มความสมดุลและความคล่องตัว
สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอ โดยควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และกระจายให้ได้อย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: ศูนย์อายุรกรรม ชั้น 1 อาคาร A
โทร.034-417-999 ต่อ 110, 111