นิ้วล็อคในภาษาอังกฤษเรียกว่า Trigger Finger อาการเริ่มแรกจะมีอาการปวดโคนนิ้วมือ เวลากดจะรู้สึกเจ็บ ระยะต่อมาจะรู้สึกว่านิ้วมีการสะดุด (Triggering) เวลา งอ หรือ เหยียด ถ้ามีอาการมากขึ้นจะมีอาการนิ้วล็อคไม่สามารถเหยียดมือเองได้ ต้องใช้มืออีกข้างมาดึงเหยียดออก เวลางอ หรือ เหยียดจะมีเสียงเหมือนการง้างไกรปืน แพทย์ศัลยกรรมกระดูกส่วนใหญ่จะบอกผู้ป่วยที่เป็นโรคนิ้วล็อคว่า เป็นโรคปลอกหุ้มเอ็นอักเสบ, การอักเสบของพังผืด หรือเส้นเอ็นอักเสบ คำเหล่านี้มักไม่ค่อยจะสื่อความหมายให้กับผู้ป่วยชัดเจนนัก
ดังนั้นแพทย์จึงมักจะใช้คำว่า “นิ้วล็อค” ซึ่งเป็นคำทับศัพท์ที่มาจากคำภาษาอังกฤษว่า Locked Finger ทำให้คนไทย เข้าใจและรู้จักโรคนิ้วล็อคได้ดีมากขึ้น
วิธีการรักษาโรคนิ้วล็อค แบ่งออกเป็น 3 วิธี คือ
วิธีที่ 1 การรักษาโดยการฉีดยา
การรักษานิ้วล็อค ในผู้ป่วยที่เป็นตั้งแต่ระดับที่ 1 – 3 จะแนะนำให้ฉีดยา สเตียรอยด์เฉพาะที่ จะได้ผลดี และหายกว่าร้อยละ 60 ขึ้นไป ในรายงานบางแห่งได้ผลดีและหายถึงกว่าร้อยละ 70 ส่วนที่เหลือ ร้อยละ 30 – 40 อาการล็อคจะกลับมาเป็นอีกได้ ในกลุ่มที่กลับมาเป็นใหม่นี้ จะให้มีการฉีดยาสเตียรอยด์ซ้ำได้ 2 – 3 ครั้ง โอกาสที่จะดีขึ้น และหายจะมีบ้างแต่น้อยมาก แพทย์ศัลยกรรมกระดูกจะแนะนำให้ทำการผ่าตัดรักษาจะดีกว่า เพราะการฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่ซ้ำ ๆ หลายครั้งจะไม่ทำให้อาการดีขึ้น
วิธีที่ 2 การรักษาโดยการผ่าตัด จะแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี
- วิธีที่ 1 เป็นการผ่าตัดในห้องผ่าตัด ในกรณีที่นิ้วล็อคได้รับการฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่มีอาการดีขึ้นชั่วระยะหนึ่ง แล้วยังคงมีอาการ ล็อคอยู่ การทำผ่าตัดโดยวิธีนี้จะทำในห้องผ่าตัดใหญ่ ต้องฉีดยาชา มีแผลผ่าตัดและมีไหมเย็บด้วย
- วิธีที่ 2 เป็นการรักษาแบบปิดโดยการเจาะ ( Percutaneous Trigger Finger release ) เป็นการสะกิดปลอกหุ้มเอ็น ออกผ่านผิวหนัง ซึ่งไม่มีแผล ซึ่งอาจมีอันตรายต่อเส้นประสาทและเอ็นที่อยู่บริเวณข้างเคียง อาจทำให้มีอาการปวดขณะขยับนิ้วมือ ปัจจุบันมีนวัตกรรมใหม่ที่ลดผลข้างเคียง และให้ผลดี โดยใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า A-Knife (Percutaneous Trigger Finger release with A-knife) เป็นนวัตกรรมการรักษาอาการนิ้วล็อคได้ในเวลาประมาณ 1 นาที แผลกว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร โดยไม่ต้องทำที่ห้องผ่าตัด ลดผลข้างเคียงต่อเส้นเอ็น และเส้นประสาท เจ็บน้อย ไม่ต้องเย็บแผล มือที่ผ่าตัดสามารถใช้งานได้ทันที สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติเร็วขึ้น
อย่างไรก็ดี การป้องกันไม่ให้เกิดอาการนิ้วล็อคจะดีกว่าการรักษา ท่านสามารถป้องกันการเกิดโรคนิ้วล็อคได้ด้วยกา ทำกายภาพมือ ดังนี้
ขอบคุณรูปจากเว็บ http://goo.gl/qhJgeZ
- ยืดกล้ามเนื้อแขน มือ นิ้วมือ โดยยกแขนระดับไหล่ ใช้มือข้างหนึ่งดันให้ข้อมือกระดกขึ้น-ลง ปลายนิ้วเหยียดตรงค้างไว้ นับ 1-10 แล้วปล่อยทำ 6-10 ครั้ง/เซต
- บริหารการกำ-แบมือ โดยฝึกกำ-แบ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อนิ้วมือ และกำลังกล้ามเนื้อภายในมือ หรืออาจถือลูกบอลในฝ่ามือก็ได้ โดยทำ 6-10 ครั้ง/เซต
- ท่าเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อที่ใช้งอ-เหยียดนิ้วมือ โดยใช้ยางยืดช่วยต้าน แล้วใช้นิ้วมือเหยียดอ้านิ้วออก ค้างไว้ นับ 1-10 แล้วค่อยๆ ปล่อย ทำ 6-10 ครั้ง/เซต
วิธีลดความเสี่ยงการเป็นนิ้วล็อค
- ไม่หิ้วของหนักเกินไป ถ้าจำเป็นต้องหิ้วให้ใช้ผ้าขนหนูรอง และหิ้วให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือ อาจใช้วิธีการอุ้มประคองหรือรถเข็นลากแทน เพื่อลดการรับน้ำหนักที่นิ้วมือ
- ควร ใส่ถุงมือ หรือห่อหุ้มด้ามจับเครื่องมือให้นุ่มขึ้นและจัดทำขนาดที่จับเหมาะแก่การใช้งาน ขณะใช้เครื่องมือทุ่นแรง เช่น ไขควง เลื่อย ค้อน ฯลฯ
- งานที่ต้องใช้เวลาทำงานนานต่อเนื่อง ทำให้มือเมื่อยล้า หรือระบม ควรพักมือเป็นระยะๆ และออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อมือบ้าง
- ไม่ขยับนิ้วหรือดีดนิ้วเล่น เพราะจะทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากยิ่งขึ้น
- ถ้ามีข้อฝืดตอนเช้า หรือมือเมื่อยล้า ให้แช่น้ำอุ่นร่วมกับการขยับมือกำแบเบา ๆ ในน้ำ จะทำให้ข้อฝืดลดลง
เอื้อเฟื้อข้อมูลโดย นายแพทย์ธีรพล บุญมงคลรัศมิ์
ความชำนาญพิเศษ : ศัลยแพทย์โรคกระดูก
เวลาออกตรวจ : วันจันทร์ – ศุกร์ 08.00 -17.00
โรงพยาบาลเอกชัย โทร. 1715 หรือ 034-417-999 ต่อ 132
ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.researchgate.net
View our Specialists in our Orthopaedic Doctors Page